วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 11
วันพุธ ที่ 15 มีนาคม 2560
การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
รูปแบบการจัดการศึกษา
1. การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
2. การศึกษาพิเศษ (Special Education)
3. การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)โรงเรียน เลือก เด็ก คัดเด็กได้
4. การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education)เด็ก เลือก โรงเรียน
การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
         เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
- การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
- มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
- ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
- ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน
การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
- การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา(รายวิชาดนตรี ศิลปะเป็นต้น)
- เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
- เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้
**จะมีห้องเรียนของเด็กพิเศษอยู่แล้ว
การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
- การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
- เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
- มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
- เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
- การศึกษาสำหรับทุกคน
- รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
- จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
Wilson , 2007
- การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
- การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
- กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
- เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
ปรัชญา ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน ทุกคนสามารถเรียนได้

"Inclusive Education is Education for all,
It involves receiving people
at the beginning of their education,
with provision of additional services
needed by each individual"

การศึกษาสำหรับทุกคน
ทุกคนควรมีสิทธิ์ทีจะได้รับ
การเริ่มต้นการศึกษา 
และได้รับการส่งเสริมช่วยเหลือ
เเตกต่างกันไปเป็นรายบุคคล

สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
- เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
- เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
- เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน (Education for All)
- การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
- เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
- เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ รวมกันที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
- ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก
ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
- ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้ วัยทองของชีวิต
- “สอนได้
- เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม
(กิจกรรมวาดรูปดอกบัว)
***โจทย์ คือ วาดให้เหมือนตัวเเบบที่สุด แล้วเขียนข้อความลงไปว่าเห็นอะไรในรูปนี้บ้าง การเขียนที่ถูกต้องคือเขียนในสิ่งที่เห็น คือ ดอกบัวที่ชมพูอมม่วง มีกลีบ14 กลับ มีเกสรสีเหลือง มีก้านสีเขียว ไม่ควรใส่ความรู้สึกลงไป เหมือนกับการที่เรามองเด็กพิเศษเราควรมองในสิ่งที่เห็น***

1.ครูไม่ควรวินิจฉัย
- การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
- จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
2.ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
- เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
- ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
- เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ
*ไม่ตั้งฉายาให้เด็กพิเศษ
3.ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
- พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
- พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
- ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
- ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
- ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา
*พูดเชิงบวกในพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ ควรเริ่มต้นด้วยพูดการชมก่อน
4.ครูทำอะไรบ้าง
- ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
- ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
- สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
- จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
5.สังเกตอย่างมีระบบ
- ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
- ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
- ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา
6.การตรวจสอบ (แพทย์)
- จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
- เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
- บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
7.ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
- ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้ (ต้องมีการวางแผนเสมอ)
- ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้ (แก้พฤติกรรมทีละอย่าง โดยเริ่มแก้จากพฤติกรรมที่รุนเเรงที่สุดก่อน เช่น ทำร้ายเพื่อน ขว้างปาสิ่งของ ทำร้ายตนเอง)
- พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
8.การบันทึกการสังเกต
การนับอย่างง่ายๆ
- นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
- กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
- ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
การบันทึกต่อเนื่อง
- ให้รายละเอียดได้มาก
- เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
- โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ
*ไม่ใส่ความรู้สึกลงไป

การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
- บันทึกลงบัตรเล็กๆ
- เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
9.การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
- ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
- พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
10.การตัดสินใจ
- ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
- พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่

ความรู้ที่ได้รับและการนำไปใช้
           ได้รับความรู้เกี่ยวกับการจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวม ที่มีเด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนอยู่ด้วย ซึ่งเเต่ละโรงเรียนจะมีรูปแบบในการจัดการศึกษาต่างกันออกไป ในโรงเรียนส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษาเเบบเรียนร่วม คือ โรงเรียนยังมีการคัดเด็กที่เข้าไปเรียนอยู่ นอกจากนี้ยังได้รับความรู้ในบทบาทของครูในการปฏิบัติตนเมื่อในห้องเรียนมีเด็กพิเศษ และการพูดคุยกับพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างถูกวิธี 
ประเมินผล
ประเมินตนเอง เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย ไม่พูดคุยกับเพื่อนเสียงดัง ตั้งใจฟังอาจารย์สอน
ประเมินเพื่อน   เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียนไม่พูดคุยเสียงดังขณะที่อาจารย์สอน
ประเมินอาจารย์ อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา ใส่ใจดูแลนักศึกษา เเต่งกายเรียบร้อยยิ้มเเย้มเเจ่มใสเสมอ ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น